รีวิวการฝึกงานกับบานาน่า โคดดิ้ง โดย เม้าส์ ( วิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ )

สวัสดีครับ ผมชื่อเม้าส์ ครับ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ชั้นปีที่ 4 โดยทางมหาลัยของผมจะมีการให้นักศึกษาไปฝึกงานสหกิจในเทอมที่ 2 ของชั้นปีที่ 4 เป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน โดยทางสาขาวิชาจะมีรายชื่อของบริษัทมาให้สำหรับคนที่ไม่รู้จะไปที่ไหน แต่เราก็สามารถหาบริษัทที่เค้ามีการรับนักศึกษาฝึกงานเองได้ครับ ส่วนของผมรู้จักที่นี้มาจากเพื่อน​ (คนที่มาฝึกด้วยกัน) ผมก็เลยลองไปหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท บานาน่าโคดดิ้ง และได้เจอกับเว็บไซต์ของ Banana Coding เลยลองหาอ่านข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับบริษัท ว่าอยู่ที่ไหนทำเกี่ยวกับอะไร และถ้าจะมาฝึกงานกับที่นี่ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เราต้องไปเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง ซึ่งหลายๆอย่างเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่สำหรับผมมาก และก็ได้ทำการกรอกใบสมัครฝึกงาน ใบสมัครมีการถามค่อนข้างเยอะหลายๆด้าน หลังจากกรอกใบสมัครไปประมาณสองอาทิตย์แต่ยังไม่มีการตอบกลับมาเลยไปสมัครอีกที่ไว้ (เผื่อว่าที่นี่เขาไม่รับ ฮ่าๆ) และในที่สุดก็ติดต่อมาและได้นัดสัมภาษณ์ วันที่สัมภาษณ์ เค้าได้ถามหลายๆอย่างเกี่ยวกับเราถามเกี่ยวกับตัวจบของเราว่าทำอะไรเป็นยังไง ตื่นเต้นมาก แต่ดีหน่อยที่การสัมภาษณ์ครั้งนั้นไม่ได้มีผมคนเดียว มีเพื่อนอีกคนด้วยถ้ามีผมคนเดียวคงเกร็งจนตอบไม่ถูกและไม่กี่วันต่อมาทางบริษัทก็ติดต่อกลับมาว่าผ่านการสัมภาษณ์ผมดีใจมาก และได้นัดวันเริ่มการฝึกคือวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564

วันแรกที่มาในบริษัทคนน้อยมากเนื่องด้วยสถานการณ์โควิดด้วย ตอนแรกที่มาถึงก็มาเจอเพื่อนต่างมหาลัยที่มาฝึกที่นี่เหมือนกัน  2 คน วันแรกที่มาเจอกันก็จะเงียบๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากเท่าไหร่ ในวันแรกก็จะมีการสอนเข้าใช้เมลของบริษัท การลงเวลาการทำงาน การลางาน ลาป่วยและระเบียบของบริษัท ในช่วงสองอาทิตย์แรกจะเป็นการจัดสอน Bootcamp ตั้งแต่การเซ็ตเครื่องติดตั้งโปรแกรมต่างๆ โดยมีการสอนพื้นฐานในเรื่อง Azure board, Bootstrap, HTML, CSS, Ruby On Rails , Rails Admin , Rspec, Heroku และอีกหลายๆตัว ซึ่งทั้งหมดจะจัดการสอนผ่านทางออนไลน์ทั้งหมดเนื่องด้วยสถาณการณ์โควิด หลังเรียนเสร็จก็จะมีการให้ทำการบ้านในเรื่องที่เรียน และให้นำมาพรีเซ็นต์ในวันศุกร์ ที่ Friday meeting โดยหลังจากที่เรียน Bootcamp เป็นระยะเวลาสองอาทิตย์เสร็จ พี่ถามมาว่าเราอยากทำโปรเจ็คอะไรให้เราเสนอหัวข้อให้แล้วพี่ก็คอยช่วยแนะนำจนได้หัวข้อที่ทำคือ Bloodneed เป็นโครงการที่จะช่วยผู้ที่ต้องการรับบริจาคเลือด และในการทำโปรเจ็คได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเยอะมาก พี่ๆคอยให้คำแนะนำหลายๆอย่าง คอยช่วยเวลาเราติดปัญหา และหลังจากทำ โปรเจ็ค Bloodneed เสร็จก็ได้มาทำงานของลูกค้าจริงๆ เป็นอะไรที่ต่างกับโปรเจ็คที่เราทำกันเยอะมาก ได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆเยอะมาก การเขียนในแบบที่สวยงาม อ่านง่าย และทำงานได้เร็ว

หลังจากที่ผ่านการฝึกงานมาเป็นระยะเวลา 3 เดือนเป็นอะไรที่ดีมากๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ของการทำจริงๆ ที่หาที่ไหนไม่ได้ ซึ่งแตกต่างกับตอนที่เรียนอย่างมาก ความรู้ที่มหาวิทยาลัยสอนเป็นเพียงความรู้ขั้นพื้นฐาน ซึ่งการทำงานจริงเราต้องอาศัยประสบการณ์ แหล่งความรู้หลายๆที่ และ ต้องคอยศึกษาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ  สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณพี่ๆทุกคนที่คอยดูแล ให้คำแนะนำในทุกๆอย่าง ในตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผมได้อะไรเยอะมากจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมหาที่ไหนไม่ได้ ขอขอบคุณพี่ บานาน่าโคดดิ้งทุกคนครับ ขอบคุณครับ

รีวิวการฝึกงานกับบานาน่า โคดดิ้ง โดย ไมค์ ( วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงใหม่ )

สวัสดีครับ ผมไมค์ เป็นนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงใหม่ คณะวิศกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ชั้นปีที่ 4 วันนี้ก็อยากมาแชร์ประสบการณ์ในการทำงานที่บริษัท บานาน่าโค้ดดิ้งครับ

ขอเริ่มจากวันแรกเป็นช่วงที่ใกล้เปิดเทอมภาคเรียนที่ 2 อยู่ ๆก็มีการดึงนักศึกษาที่ต้องการฝึกงานเข้ากลุ่ม Line และมีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาทำให้ผมต้องขนลุก “นักศึกษาที่ต้องการฝึกงาน ให้หาที่ฝึกงานแล้วส่งให้พี่ภายในอาทิตย์นี้นะคะ”  นั่นทำให้ผมรู้สึก “เกลียดความหวั่นไหวที่ก่อตัวในใจฉัน”  T0T หนึ่งอาทิตย์ในการหาที่ฝึกงาน!!! หรือว่านี่จะเป็นบททดสอบของทางคณะในการหาผู้ที่แข็งแกร่ง ที่จะสามรถอยู่รอดบนโลกอันแสนโหดร้ายนี้ได้ เดิมทีแล้วผมคิดไว้ว่าอยากจะไปฝึกงานที่กรุงเทพ แต่ด้วยสมองอันน้อยนิดของผมจึงฉุดคิดได้ว่า ทั้งเวลา และ สถานการณ์โควิดแบบนี้มัน Impossible นั่นทำให้ผมต้องจับ keyboard ขึ้นมาแล้วสั่งจาร์วิส “หาที่ฝึกงาน software เชียงใหม่” หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง จาร์วิสของผมก็ได้ไปเจอกับ Blog ที่เล่าถึงประสบการณ์ในการฝึกงาน ณ ที่แห่งนี้ เมื่อผมกดเข้าไปอ่านนั้นทำให้ผมขนลุกอีกครั้ง เพราะว่าบทความเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ 5555+ ซึ่งหลังจากไล่อ่านบทความใน blog จนหมดแล้ว ทำให้ผมคิดได้ว่าที่นี่แหละจะเป็นส่วนที่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปให้เด็กชายตัวน้อยคนนี้ได้เติบโตขึ้น หลังจากที่มโนเสร็จแล้วผมก็กดเข้า link กรอกใบสมัครผ่านไปไม่นานก็มีพี่ที่บริษัทติดต่อเข้ามาให้เข้าสัมภาษณ์ หลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จแล้วผ่านไปไม่นาน จาร์วิสของผมก็บอกว่ามีสายเข้ามา เมื่อผมกดรับสายก็มีการประกาศผลว่า น้องผ่านการณ์สัมภาษณ์นะ นั่นทำให้ผมขนลุกอีกครั้งสิ่งนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า นี่เราเป็นชายชาตรีที่สารถมารถอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้แล้วสินะ T_T (ต้องกราบขอบพระคุณพี่ๆ ที่ทำทุกขั้นตอนได้อย่างรวดเร็วทำให้เด็กชายตัวน้อย ๆคนนี้ได้มีที่ฝึกงานนะครับ)

หลังจากที่มีแต่น้ำตอนนี้ก็จะเข้าสู่โหมดจริงจัง!! ซึ่งผมจะขอเล่าการใช้ชีวิต การทำงาน และประสบการณ์ที่ได้รับจากที่นี่ครับ

สำหรับผมการมาฝึกที่นี่ในวันแรกนั้นด้วยความที่ผมมาคนเดียว และ ไม่คุ้นชิ้นกับสถานที่ นั่นทำให้ผมรู้สึกเกร็ง และ รู้สึกอึดอัดมากเลยครับ 5555 ไม่ใช่เพราะพี่ ๆที่นี่โหดหรืออะไรหรอกนะครับพี่ๆที่นี่ทุกคนใจดีมาก แต่ด้วยพื้นฐานแล้วผมเป็นคนชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ค่อยออกไปเที่ยวไหนมากกว่าทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น ซึ่งตอนที่ผมฝึกงานที่นี่พี่ๆ ก็จะอยากให้น้องฝึกงาน เข้ามาทำงานที่ office วันจันทร์และวันพฤหัสบดี ส่วนวันอื่น ๆสามารถ WFH ได้ ซึ่งช่วงแรก ๆผมก็เข้ามาทำงานที่ office ทุกวันแหละครับ เพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ และ พี่ๆบางคนที่เข้ามาทำงานที่ office (ซึ่งพี่ๆส่วนมากก็จะ WFH กันมากกว่า) ซึ่งการปรับตัวของผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นในวันที่สามของการฝึกงาน และ พอผ่านไป 168 ชั่วโมง (หนึ่งสัปดาห์) ผมก็เริ่มสนิทกับเพื่อนใหม่ และ เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น 555+ หลังจากนั้นการฝึกงานที่นี่ก็จะเริ่มสนุกขึ้นครับ ช่วง 3 สัปดาห์แรกนั้นจะเป็นช่วง Bootcamp ที่พี่ ๆ แต่ละคนก็จะเปลี่ยนกันเข้ามาสอนเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

Azure DevOps, Git, HTML, CSS, Ruby Language, Ruby on Rail และ gem ต่าง ๆ ของ Ruby on rails, Banana Testing

ซึ่งในช่วง Bootcamp นี้เราก็จะได้เรียนและก็จะมีโจทย์การบ้านให้เราไปทำด้วย อารมณ์เหมือนกับการเรียนที่มหาลัยเลยครับ 5555+ สำหรับผมคิดว่าดีมากเลยครับเพราะช่วงสามสัปดาห์แรก เราจะได้ใช้เวลาทำความรู้จักเพื่อนๆและพี่ๆมากขึ้นและยังได้เรียนรู้สภาพแวดล้อมการทำงานที่นี่อีกด้วย ว่าแล้วก็เข้าสู่ช่วงขายของ ที่นี่เริ่มทำงาน 9.00 น. เลิกงาน 17.00 น. แถมมีขนมให้กินเล่นอีกด้วย และที่อยากขายเลยคือที่นี่มีห้องให้สำหรับน้องฝึกงานด้วยนะเออ ซึ่งห้องนี้เราก็จะใช้ทั้งเรียน ทำงาน และ ประชุม อาจจะมีพี่แวะเข้ามาพูดคุยด้วยเป็นบางครั้ง และที่ประทับใจกับที่นี่มากถึงมากที่สุดเลยคือ พี่เขาให้ความไว้ใจเรามาก ๆเลย ซึ่งไว้ใจในที่นี้คือ พี่เขาจะไม่มานั่งดูเลยว่าเราทำงานอยู่ไหมน้า หรือ แอบเล่นเกมอยู่หรือเปล่าน้า และก็จะไม่มีการบังคับเลยว่าต้องพักเวลานี้เท่านั้นหรือถ้าไม่ถึงเวลานี้ห้ามหยิบมือถือมาเล่น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หัวใจของเด็กชายคนนี้กลับมาหวั่นไหวอีกครั้ง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องเราผิดชอบในงานที่เราได้รับมอบหมายให้เสร็จด้วยน้า และที่สำคัญคือให้คิดไว้เสมอว่าเรามาฝึกงานเพื่ออะไร คงไม่ใช่มาเพื่อเล่นๆให้ผ่านไปวันหนึ่งหรอกใช่ไหม?

พอผ่านช่วง 3 สัปดาห์แรก พี่ก็จะให้เราเริ่มทำโปรเจคที่เราคิดขึ้นมาแล้วแต่น้อง ๆที่ฝึกงานอยากทำแต่ต้องนำเสนอให้ผ่านก่อนนะว่าโปรเจคที่เราอยากทำนั้นมันช่วยแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้หรือเปล่า พอนำเสนอผ่านแล้วพี่ก็จะมีการจัดตั้งทีมขึ้นมาสำหรับโปรเจคนี้และน้องฝึกงานก็จะได้ไปอยู่ในตำแหน่ง Sofeware Engineering และก็จะมีพี่ที่เก่งๆเข้ามาร่วมทีมกับเราด้วยแต่ละทีมก็จะมีหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งจุดนี้แหละที่เราจะได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมแล้วได้เรียนรู้ด้วยว่า เวลาที่โค้ดของเรากับของเพื่อนชนกัน(conflict) มันเป็นยังไง 5555 ซึ่งช่วงที่ทำโปรเจคนี้เราก็จะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากทั้งเรื่องการเขียนโค้ด การใช้ Tools การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกับคนอื่น สิ่งที่อยากแนะนำในช่วงนี้เลยคืออย่ากลัวที่จะลองและอย่ากลัวที่จะถาม บางครั้งเราจะเกิดความกลัวที่จะใช้เครื่องมือที่เราไม่เคยเจอหรือกลัวไปทำแบบนั้นแล้วจะพัง แต่จากประสบการณ์ที่ฝึกงาน ทำให้ผมคิดได้ว่าทำแล้วผิดพลาดนั่นแหละจะเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้เรียนรู้และจำขึ้นใจเลยว่า สิ่งไหนไม่ควรทำหรือ ถ้ากลัวพลาดจริงๆ เราก็สามารถถามพี่ๆได้ ซึ่งอย่าลืมว่าเราคือนักศึกษาฝึกงานเพราะฉะนั้นใช้ช่วงเวลานี้ ในการเรียนรู้ให้เต็มที่และคุ้มค่า (คมป่ะล่ะ 555)
สองเดือนผ่านไปในที่สุดเหล่าน้อง ๆฝึกงานก็ได้ทำงานที่เป็นงานของลูกค้าจริง ๆ เย้!!! ซึ่งถามว่าตื่นเต้นไหม ก็ตื่นเต้นเล็กน้อยซึ่งการทำงานจริงนั้นสำหรับผมให้อารมณ์เหมือนทำกับโปรเจคก่อนหน้านี้เลยซึ่งก็ต้องขอบคุณพี่ๆที่ train ให้น้องฝึกงานสามารถเตรียมความพร้อมจนสามารถเข้ามาทำงานนี้ได้ซึ่งบอกเลยว่า งานโปรเจคก่อนหน้านี้ช่วยให้เราทำงานนี้ได้ดีขึ้นจริง ๆเพราะทุกอย่างเราทำเละไว้ที่โปรเจคก่อนหน้านี้แล้วยังไงหละ 555 (หมายถึงเราได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากโปรเจคก่อนหน้านี้) ทำให้เราสามารถทำโปรเจคนี้ผ่านไปได้ ซึ่งก็เป็นเพราะพี่ๆใจดีด้วยแหละไม่กดดันแถมคอยช่วยเหลือตลอด ทำให้รู้สึกว่าการทำงานจริงไม่รู้สึกเครียดเท่าไหร่ครับ

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในสายงานนี้ก็คือ bug กับ Error เป็นสิ่งที่เราต้องเจออยู่ตลอดทุกวัน บางปัญหาที่แก้ได้ บางปัญหาที่ใช้เวลาเป็นวันก็แก้ไม่ได้หรือแก้ไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจผมมากซึ่งบางครั้งเราใช้เวลาหลายวันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะบอกเพื่อเตือนตัวเองหรือแนะนำคนอื่นก็คือลองเก็บปัญหาตรงนั้นไว้แล้วไปทำอย่างอื่นก่อนหรือลองพักก่อนแล้วค่อยกลับมาทำ การที่เราจดจ่อกับปัญหานั้นแล้วแก้ไม่ได้ซักที จากที่ผมรู้สึกเลยคือร่างกายจะเริ่มล้า เริ่มคิดไม่ออกและ วิธีแก้ปัญหาก็จะเริ่มวนไปมาซ้ำอยู่ที่เดิม ทำต่อก็เครียดเปล่าๆ เพราะฉะนั้นให้ลองพักก่อน พอสมองเราได้พักผ่อนแล้ว ค่อยกลับมาทำอีกครั้ง ซึ่งบางครั้งเราจะเจอวิธีที่แก้ปัญหานี้แบบง่ายๆ โดยที่เราไม่คาดคิดไว้เลยก็ได้ หรือถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ลองให้คนอื่นช่วยดู ซึ่งนี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ผมได้พบเจอในสายงานนี้

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่คอยสอน คอยให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ และ ให้โอกาศได้มาฝึกงานที่ บานาน่าโค้ดดิ้ง ทำให้ผมได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์ในการทำงาน และขอบคุณเพื่อนๆทุกคน ที่คอยอยู่ด้วยกัน และ ช่วยเหลือกันมาตลอด ทำให้ช่วงของการฝึกงานมีสีสันและสนุกมากขึ้น ขอบคุณครับ

รีวิวการฝึกงานกับบานาน่า โคดดิ้ง โดย ดู๋ดี๋ ( คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงใหม่ )

สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผม นายธนกร บุญศัพย์  เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ สาขาระบบสารสนเทศทางธุรกิจ. ก่อนที่จะได้มาสหกิจที่นี่นั้น ผมยังไม่รู้จักที่นี่เลยครับ ตอนนั้นผมกำลังเล่นเกมส์กับเพื่อนอยู่ แล้วเพื่อนคนที่ยื่นสหกิจที่นี่นั้นเขาไม่ผ่านสัมภาษณ์ เลยแนะนำผมให้ลองมาสมัครที่นี่ดูสิ ผมก็เลยลองยื่นดู พอถึงวันสัมภาษณ์พี่ๆ ก็เป็นกันเองมากครับ. แล้วพอถึงวันประกาศพี่ HR (พี่ออม) ได้แจ้งว่า “ น้องผ่านการสัมภาษณ์ที่นี่นะคะ จะเอาที่นี่เลยไหม ? ” ผมก็ตอบตงลงทันทีเลยครับ

วันแรกที่มาที่นี่ พี่ ๆ ก็ช่วย set up เครื่องให้ แจ้งกฎระเบียบต่าง ๆ ก่อนเข้า bootcamp ผมเป็นกังวลครับ เพราะไม่คุ้นกับ การใช้ git การใช้ terminal command และการเขียนแบบ MVC ครับ แต่เพื่อน ๆ พี่ ๆ ก็คอยช่วยผมตลอดจนลดความกังวลไปมากเลยครับ. ช่วง bootcamp ได้เรียน dev azure , git , ruby on rails ฯลฯ ที่เกี่ยวข้อง พี่ๆ สอนดีมากครับ มีการบ้านให้ฝึกทุก ๆ ครั้งที่เรียน. พอหมดช่วง bootcamp ก็ได้เริ่มทำตัวโปรเจ็ค ที่ชื่อว่า Bloodneed เป็นเว็บแอพพลิเคชั่นที่เอาไว้ช่วยคนที่ต้องการเลือด และให้คนที่อยากจะบริจาคเลือด ได้มาพบกัน. ก็มี พี่ปาล์ม ที่คอยหมอบหมายงานให้ในรูปแบบ agile methodology คือทำงานตามอาทิตย์ มี sptint ให้ในแต่ละอาทิตย์ ประชุมว่าอาทิตย์นี้ทำอะไรบ้าง พอสิ้นสุดอาทิตย์นั้นๆ ก็ประชุมกันว่างานไหนเสร็จแล้วบ้าง เป็นยังไง ติดปัญหาตรงไหนหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดปัญหา พี่ ๆ ก็จะคอยช่วยตลอดครับ. หลังจากนั้นก็ได้มาทำโปรเจ็คของบริษัทด้วยครับ.

สำหรับบรรยากาศการทำงานของที่นี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงที่ ทำงานกันอยู่ที่บ้าน ก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ไม่เงียบจนเกินไป ไม่กดดัน มีขนมให้กินตลอด

และท้ายนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณพี่ๆ ทุกคนที่คอนช่วยเหลือผมตลอดในทุก ๆ ปัญหา และก็ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่คอยช่วยแก้ error ต่าง ๆ และอยากจะแนะนำ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่กำลังมองหาที่ฝึกงานอยู่ หรือกำลังลังเลที่จะเลือกที่นี่ดีไหม ผมจะบอกว่า เลือกที่นี่เลยครับ แล้วคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากที่นี่กลับไปอย่างแน่นอน ขอบคุณครับ

รีวิวการฝึกงานกับบานาน่า โคดดิ้ง โดย มิกส์ ( วิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ )

ก่อนสิ่งอื่นใด! ผมจะขออนุญาตแนะนำตัวสักหน่อยนะครับ สวัสดีครับผม มิกส์ ครับ เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ครับ มีความชอบในการเขียนโปรแกรมครับ (ไม่มีเหตุผลรองรับแบบเป็นรูปธรรม) งานอดิเรก คือ ดูหนัง เล่นเกม ชอบฟังเพลงตอนขับรถ แนวเพลงที่ชอบคือ AlTERNATIVEROCK, HEAVRY METAL ไม่ชอบกินผักและอาหารที่มีความเผ็ดร้อน เอาละกลับเข้าเรื่องดีกว่า

รู้จักกับ บานาน่า โคดดิ้ง ได้อย่างไร และ ทำไมเลือกฝึกงานที่นี้?

รู้จักที่นี้ครั้งแรกเลยคือ รายชื่อบริษัท software ที่รับเด็กฝึกงาน จากอาจารย์ในสาขา โดยครั้งแรกที่สะดุดตากับชื่อบริษัทเป็นอย่างมากเพราะอยู่เป็นรายชื่อแรก ๆ (บริษัทไรเอากล้วยมาเขียนโคด อ่ะหยอก~) หลังจากที่หาข้อมูลของบริษัทจากพี่ที่รู้จัก Blog รีวิวต่างๆ ไปจนถึงผลงานของบริษัท ก็ได้ตัดสินใจลองส่งใบสมัคร (https://bananacoding.com/fitting) มาที่บริษัทนี้ ระหว่างที่รอผลตอบรับซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน (อาจจะดูนานแต่จริงๆแล้วเค้ารับพิจารณาเป็นรอบๆไป และดันส่งไปจังหวะไม่ดีเลยรอนาน ฮ่าๆ) ก็ได้รับการตอบกลับให้เข้าสัมภาษณ์ และเนื่องจากอยู่ในช่วงสถานการโควิด จึงได้สัมภาษณ์ออนไลน์ ซึ่งเป็นอะไรที่ชิวมาก เหมือนมานั่งทำความรู้จักกันประมาณครึ่งชั่วโมง (ที่ชิวเพราะว่าไปสัมภาษณ์อีกที่มาแล้วเครียดจัด ฮ่าๆ) หลังการสัมภาษณ์เสร็จก็ได้รับการตอบรับว่ารับเข้าฝึกงานในเวลาต่อมา

ช่วง Bootcamp!

การเข้าไปฝึกงานที่บริษัทนี้ จะมีช่วงสอนงานให้ก่อนประมาณ 3 สัปดาห์ ให้รู้จักกับรูปแบบการทำงานของบริษัท ภาษาที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม เครื่องมือต่าง ๆ ที่บริษัทใช้ในการทำงาน ไปจนถึงวัฒนธรรมภายในองค์ โดยจะมาพี่ ๆ ในที่ทำงานวนกันมาสอนเพื่อให้เราได้รู้จักกับพี่หลาย ๆ คนที่จะค่อยช่วยเราในการทำงานต่าง ๆ อีกด้วย

หลังจาก Bootcamp

บริษัทจะให้เด็กฝึกงานได้ลองที่โปรเจค จากสิ่งที่ได้เรียนใน Bootcamp สามารถทำเป็นกลุ่มหรือเดี่ยวก็ได้ (สเกลงานขึ้นอยู่กับจำนวนคน) โดยจะมีพี่ senior คอยให้ความช่วยเหลือเราอยู่ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน หรือเกิด error confict ต่าง ๆ ในเรื่องที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ สามารถถามพี่ได้ตรง ๆ เลย พี่ ๆ จะคอยให้ความช่วยเหลือในระดับที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย โดยโปรเจคของมิกส์คือ Project Bloodneed เป็นโปรเจคที่ทำร่วมกับเพื่อนฝึกงานอีก 3 คน เป็นโปรเจคที่สร้างพื้นที่สำหรับผู้ที่ต้องการเลือดและสนใจที่จะบริจาคเลือด ในรู้แบบของเว็ปแอพพลิเคชั่น พัฒนาโดยใช้เฟรมเวิร์ก Ruby on Rails แบบ Full Stack ได้ลองใช้ฐานข้อมูลทั้ง Postgresql และ AWS S3 มีการทดสอบคุณภาพของเว็ปโดย RSpec Rubocop Scsslint และ Brakeman ได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Hot wire (ใช้เวลาในการพัฒนาเวอร์ชั่นที่ 1 ประมาณ 2 เดือน) หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสร่วมงานกับพี่ในบริษัททำโปรเจคของบริษัทอีกด้วย

บรรยากาศในการทำงาน

ที่นี่ไม่ได้เคร่งเรื่องกฏระเบียบการแต่งการ หรือสถานที่ทำงานมากนัก เน้นไปที่ความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบของตนเองมากกว่า สวัสดิการในการทำงานที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นขนน เครืองดื่ม สถานที่ทำงาน อุปกรณ์ช่วยในการทำงานต่าง ๆ เช่น จอคอม ปลั๊กพ่วง ไปจนถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถยืมได้ และแมววววววว แมวโว๊ยแมวจริง ๆ น้อง ๆ ติดคนมากสามารถเล่นได้ไม่กัด (แต่ใครที่แพ้ขนแมวจะต้องร้องไห้เลยหละ) สุดท้ายคือเวลาเข้างาน/ออกงานซึ่งเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่เห็นพี่คนไหนทำงานนอกเวลางาน มีเวลาพักชัดเจน วันหยุด! คือ หยุด! (เว้นงานเข้าแบบเลี่ยงไม่ได้หรืออะไรนิดๆหน่อยที่พอจะทำให้ได้) ซึ่งเป็นอะไรที่เยียมไปเลย

รูปแบบการทำงาน

ที่นี้ทำงานเป็น Sprint แต่ละ Sprint ใช้เวลา 1 สัปดาห์ จะมีการประชุมติดตามความเคลื่อนไหว ปัญหาที่เกิดขึ้นในงานต่าง ๆ และแจกจ่ายงานในแต่ละสัปดาห์ ในแต่ละวันจะมีการลงเวลาที่ใช้ในการทำงานด้วย ในช่วงที่มีอีเว้นหรือกิจกรรมต่าง ๆ เช่น คริสต์มาส หรือ ปีใหม่ น้องฝึกงานก็มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วยทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ~ 

สิ่งที่ได้จากการฝึกงานครั้งนี้

อย่างแรก ได้ลองใช้เครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ ที่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยหรือทำโปรเจคอาจไม่มีโอกาศได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น Git AzureDev commard ต่าง ๆ รวมไปถึงภาษาที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมด้วย

อย่างที่สอง ฝึกความรับผิดชอบ เนื่องจากทำงานเป็นทีมร่วมกับคนอื่น ๆ มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน ทำให้ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่ขอตนเองและผู้อื่น แยกแยะและจัดสรรค์เวลาในการทำงานอีกด้วย

อย่างสุดท้าย ได้เทคนิดการแก้ไข้ปัญหาต่าง ๆ จากพี่ที่ดูแล และเพื่อนร่วมงานไปแบ่งบันเทคนิดต่าง ๆ ให้กัน เราได้ช่วยเพื่อน เพื่อนก็ได้ช่วยเรา และพี่ก็ช่วยเราทั้งหมด (เอ้ะ แปลกๆ) 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณพี่ ๆ ที่บริษัท บานาน่า โคดดิ้ง ทุก ๆ คนที่ช่วยเหลือ และดูแลมาตลอดระยะเวลา 4 เดือนในการฝึกงานครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ และสัญญาว่าจะจำไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จะนำประสบการณ์ดีอย่างนี้ไปปรับใช้ในชีวิตการทำงาน ร่วมถึงช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ เหมือนที่พี่ ๆ ช่วยเหลือผมต่อไป ขอบคุณมากครับ